วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไม นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น?

การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขาย แล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะ เขาไม่มีความรู้และเครื่องมือในการทำงาน ที่ดีพอนะ ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนของเขา มากมายหลายหลาก แต่รายใหญ่ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เดี๋ยวนี้ เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟ มาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้น มาหาประโยชน์ส่วนตนอีกที ด้วยการไล่ราคาหุ้นจนกระทั่งกราฟ "สั่งซื้อ" (buy signal) แล้ววางขายรินขายฝั่ง offer เมื่อกราฟ "สั่งถือ" แล้วทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ "สั่งขาย" ให้เขาได้ซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ...... นี่คือความจริง ภาคสนามรบ

The Secret Has Been Revealed!

ถ้าท่านเป็นเจ้าของบริษัท อุตส่าห์์ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำๆ ขายใส่ตลอดทาง ท่านเซ็งไหม ....... มันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมในการทำราคา หากพวก net settlement มาจับเสือมือเปล่า กินเงินท่าน ไปฟรีๆ ในแต่ละวัน .... ด้วยเหตุนี้ รายใหญ่ จึงมี ลาก มีกระชาก มีขายทิ้ง เป็นระยะๆ ไม่งั้น เงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ที่ "นาย" สั่ง

Step a -
เมื่อเขาต้องการซื้อหุ้น ในราคาถูก เขาจะไปเช็คกราฟ technical จากโปรแกรมของเขา เพื่อหาจุด cut loss และแนวรับ จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ไว้ หลายๆราคา + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ที่แนวรับ + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุด cut loss .....
จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมา ที่ฝั่ง bid (หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่นก็จะทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ bid ที่เขาสั่งตั้งไว้ที่แนวรับ ได้ของไปพอสมควร
จากนั้น ก็สั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย .... เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ ราคาจะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เขาตั้งซื้อในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนครบหมดตามปริมาณที่เขาต้องการ หรือ อาจจะ blocked ราคาที่ฝั่ง offer ไปนานๆ จนกว่าจะได้ของครบ ระหว่างนี้ อาจมี ตบ มี ทุบ ด้วยก็ได้ หากของยังไม่ได้คืนอย่างที่ตั้งใจ ......แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ .... นี่จึงเป็นเหตุผล ที่ต้องใช้กลยุทธ์ Short Against Port ควบคู่ไปกับ การใช้ จุด Trailing Stop (เช่นเดียวกับการยก Trailing Stop ขึ้นไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ Let Profit Run)

Step b -
พอได้ของครบ ก็ค่อยๆเคาะซื้อไล่ราคาขึ้น แบบไม่ให้ใครสังเกต ระหว่างนี้ กราฟยังไม่สั่งซื้อนะ คนในตลาดก็จะไม่ค่อยได้สังเกตเห็น ..... เมื่อได้ของพอประมาณแล้ว ก็จะปล่อยข่าวดีเป็นระยะๆ พร้อมสั่งให้อีกโบรกฯ วางขายหุ้นหนาๆ ที่ฝั่ง offer แล้วตัวเองก็สั่งอีกโบรกฯ ให้เคาะซื้อไล่ราคาขึ้นไป (หุ้นไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แค่เปลี่ยนไปอยู๋ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) อีกไม่นาน มันก็ผ่านพ้นแนวต้านได้ โปรแกรมก็จะสั่งซื้อแล้ว คราวนี้ นักวิเคราะห์ก็จะดาหน้ากันออกมา recommend "buy" .....
โธ่ ท่าน คนมา bid ซื้อเยอะๆในราคาสูงๆอย่างงี้ ตุนไว้ 30 ล้านหุ้น 50 ล้านหุ้น ไม่ขายตอนนี้จะไปขายตอนไหน .... แต่ ครั้นจะขายโครมลงมา กราฟจะเสีย ราคาจะเสีย อย่ากระนั้นเลย กราฟยัง "สั่งถือ" เราเลยต้องแอบๆขาย มีเคาะขวาสลับบ้าง เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่า "ยังสั่งถือ" .... จนเมื่อใด ที่แรงซื้อเริ่มเบา คราวนี้ล่ะ เขาจะรีบขายโครมลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้น อีก 10 ล้านหุ้นที่เหลือ จะออกไม่ทัน (แต่เดี๋ยวก่อน ขอเก็บไว้สัก 2 ล้านหุ้นแล้วกัน ที่จะไม่ขาย จะเตรียมไว้ขาย ในวันหลัง โดยจะขายโครมลงมาจนหลุดแนวรับหลุดหลุ่ย เพื่อให้กราฟสั่งขาย ไม่งั้น เดี๋ยวจะไม่ได้ของคืนหากทุกคนยังเก็บหุ้นไว้ไม่ยอมปล่อย) ......
แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ .....
"นาย" ก็ happy เพราะสัดส่วนการถือหุ้นยังคงเดิม แต่ฟันกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเรียบร้อยไปแล้ว 40-80% (บางท่านอาจจะบอกว่า เขาได้กันที เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้ ไม่จริง เพราะ ส่วนหนึ่งของราคาที่ขึ้นไป เกิดจากการซื้อเอง ขายเองด้วย > กำไรจากโบรกหนึ่ง แต่ไปขาดทุนในอีกโบรกฯหนึ่ง การคำนวณกำไรจึงไม่สามารถเอา high มาลบ low แล้วคูณด้วยราคาหุ้นได้)

*** เพราะเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ทุกอย่างร่วมกันในการประกอบการตัดสินใจลงทุน ..... หุ้นไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่จะให้ใครมาสั่งซื้อสั่งขาย แล้วเรามานั่งรอรับตังค์สบายๆ โดยไม่ต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ****

Cr... Line ขอบคุณครับ


วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ในตลาดหุ้นมี ฉลามอยู่ 3 ตัว by ภาววิทย์

17 ธันวาคม 2557 10:06

Pawawit Stock Comment วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับ "ฉลาม" ให้ฟัง จาก The Stock Master โครงการลับ "เปลี่ยนเม่า เป็นเหาฉลาม" ต้องเริ่มจากรู้จักฉลาม

ในตลาดหุ้นมี ฉลามอยู่ 3 ตัว

หนึ่ง "ฉลามฝรั่ง" พวกนี้เข้าหุ้นใหญ่มีพื้นฐาน เล่นรอบใหญ่ๆ เวลาเข้าตลาดจะขึ้นอย่างชัดเจน เวลาออกตลาดก็ลง...
อย่างชัดเจน ..ปีก่อนตอนตลาด 1,600 จุด ฉลามเหล่านี้ ขายหุ้นทิ้งบ้านเราไปจนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย ทำให้หุ้นใหญ่ๆ ที่ฉลามฝรั่งเล่นไม่ขึ้น

สอง "ฉลามกองทุน" ซื้อหุ้นใหญ่บ้าง หุ้นกลางบ้าง เน้นที่พื้นฐาน ปีที่ผ่านมานี้ เป็นผู้รับซื้อหุ้นรายใหญ่ ผู้ประคองตลาดหุ้นไทยเรานี่แหละ ..หุ้นที่ฉลามกองทุนเล่นต้องมีพื้นฐานที่ดี

สาม "ฉลามเจ้า" พวกนี้เล่นหุ้นปั่น ส่วนมากหุ้นไม่มีพื้นฐาน หรือ พื้นฐานไม่ดี หรือ ไม่ก็ปลุกผีหุ้นเน่ามาสร้าง Story แล้วก็ทำราคาลากไปสูงๆ ล่อเม่า เพราะเม่าชอบซื้อหุ้นที่ขึ้นแรงๆ เพราะคิดว่า จะได้รวยเร็วบ้าง ..หุ้นพวกนี้จริงๆ เล่นได้ เฉพาะขาขึ้น ก็ตามเจ้า แต่ถ้าจบรอบก็ต้องหนี โดยมากรายย่อยที่ซื้อหุ้นเหล่านี้จะขายเร็ว(ขายหมู) จากนั้นมารับตอนลง แล้วก็ติดดอยในที่สุด

การซื้อหุ้นตัวไหน เราต้องเข้าใจก่อนว่า หุ้นที่เราซื้อ "ฉลาม" ตัวไหนเป็นเจ้า ก็เท่านั้นแหละ จะได้ "รู้เขา รู้เรา" เพราะ แต่ละ ฉลาม เราต้องมีวิธีการรับมือคนละแบบ

เช่น ฉลามฝรั่ง เราต้องซื้อข่าวร้ายสุดๆ ในต้นรอบสุดๆ เวลาที่ฝรั่งออก ..เล่นแนวนี้ซื้อแล้วถือแช่ รับปันผลได้ยาว(ใช้พื้นฐานเป็นหลัก จากนั้นใช้ กราฟ Week ในการจับรอบ ฉลามฝรั่ง)


ฉลามกองทุน ก็ต้องใช้ Technical กราฟเล่นตามรอบดูจังหวะ และมีจุด Stop Loss ให้ดี (ใช้กราฟ Day ในการจับรอบฉลามกอง ส่วนพื้นฐานแค่ดูประกอบ)..ส่วนฉลามเจ้า พวกนี้ต้องไว มีจุด Stop Loss ชัดเจน ถ้าผิดทางต้องยอม Cut ห้ามสวน เพราะนั่นคือ จุดที่รายย่อยรับของแล้วติดดอย (กราฟใช้ดูว่าเจ้าเข้าตรงไหน ออกตรงไหน เพราะรอบขึ้นกับเจ้า พื้นฐานดูแพงเสมอสำหรับหุ้นเหล่านี้)

ลองพยายามศึกษาทำความเข้าใจ "ฉลาม" แต่ละตัว

...ในตลาดหุ้น ให้รู้เขา รู้เรา ..รู้เราสำคัญสุด รู้ว่าเราจะลงทุนแบบไหน นั่นแหละ จุดเริ่มต้นการลงทุนที่ดีที่สุดครับ



วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


การปั่นหุ้นเค้าทำกันอย่างไร อ่านก่อนตกเป็นเหยื่อ